Rolex โรเล็กซ์ นาฬิกาRolex นาฬิกามือสอง Rolexมือสอง rolex ราคา แท้ tag นาฬิกามือ2 นาฬิกาโรเล็กซ์ rolex thailand นาฬิกา Tag heuer

จำหน่าย Rolex โรเล็กซ์ นาฬิกาRolex นาฬิกามือสอง Rolexมือสอง Rolexมือสองของแท้ rolex ราคา แท้ tag นาฬิกามือ2 นาฬิกาโรเล็กซ์ นาฬิกา Tag heuer และแบรนด์นาฬิกาชั้นนำของโลกอีกมากมาย นอกจากในส่วนของนาฬิกาแล้ว เรายังจำหน่าย เพรช แหวนเพรช เครื่องประดับ ทองคำ ลวดลายพิเศษ พลอย



วิธีการตรวจสอบนาฬิกา Rolex โรเล็กซ์ ของแท้ เพื่อไม้ให้ตกเป็นเหยื่อต้มตุ๋น

 นาฬิกา Rolex โรเล็กซ์ วิธีการตรวจสอบของแท้
  
         ในการสังเกตและเปรียบเทียบว่านาฬิกาเป็น Rolex โรเล็กซ์ แท้หรือปลอม     มีสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องจำไว้ให้มั่นคือ    
         “ Rolex โรเล็กซ์ เป็นนาฬิกา ที่สมบูรณ์แบบ”                                         
 
Rolex โรเล็กซ์ ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ทำอะไร “เกินมาตรฐาน” ซึ่งท่านคงอ่านผ่านตาในกระทู้ต่าง ๆ ของ EXPERT ที่ตอบไปพอสมควรแล้ว Rolex จะไม่ทำอะไรแค่พอผ่าน ๆ ออกมาจำหน่ายในตลาดอย่างเด็ดขาด ดังนั้น หากมีรายละเอียดหรือวัสดุที่ทำให้คุณรู้สึก “สงสัย” นั่นคือ คุณอาจเจอ
ของปลอมเข้าให้แล้ว !!

ต่อไปนี้ เป็นข้อสังเกตบางประการที่เปรียบเทียบระหว่าง Rolex แท้กับของปลอม ซึ่งเราจะต้องเข้าใจไว้ก่อนว่า มูลค่าตลาดของปลอมนั้นมหาศาล  จึงจูงใจให้เทคโนโลยีในการปลอมสูงขึ้นและดีขึ้นเรื่อย ๆ  ข้อผิดพลาดหลายจุดที่เขียนไว้นี้อาจใช้ไม่ได้กับนาฬิกาปลอมระดับ A บางรุ่น อย่างไรก็ตามหากคุณได้สัมผัสและคุ้นเคยกับ Rolex แท้บ่อย ๆ เข้าคุณจะสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างได้โดยไม่ยากนัก
น้ำหนัก  Rolex แท้ทุกเรือนจะผลิตด้วยเหล็กกล้าอย่างดี (904 L)  ถ้าเป็นสีทองก็จะเป็นทองแท้ 18 K หรือ แพลตตินั่ม ซึ่งจะทำให้มีนำหนัก หนักเป็นพิเศษ ในขณะที่ของปลอมจะทำด้วยเหล็กที่มีคุณภาพ
ต่ำกว่า ทำให้มีน้ำหนักเบากว่าด้วย

สีสัน  ของแท้โดยเฉพาะสีทอง 18 K จะมีความเงางามและงดงาม ซึ่งจะต่างจากของปลอมที่จะใช้
ทอง 14 K หรือชุบทองจึงให้ทำมีสีเหลืองจัดจ้านเกินไปหรือออกสีโทนส้ม และ/หรือ เงาเกินไป


การเคลื่อนไหวของเข็มวินาที (กรณีไม่ใช่ระบบคว็อตซ์)  ของแท้จะมีการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นกว่า
ด้วยความถี่ประมาณ 5-8 ครั้งต่อวินาทีจึงดูราบเรียบไม่กระตุกเหมือนกับของปลอมที่จะทำความถี่
ได้เพียง 3-4 ครั้งต่อวินาทีเท่านั้น
ฝาหลัง จำไว้ว่า Rolex ไม่เคยผลิตนาฬิกาหลังเปลือย (ฝาหลังเป็นกระจก)    นี่คือข้อผิดพลาดที่เห็นง่ายที่สุดของนาฬิกา Rolex ปลอม


 Marking ที่ฝาหลัง  Rolex ส่วนใหญ่จะไม่มี Logo และเลขรุ่นหรือข้อมูลใด ๆ สลักอยู่บนฝาหลัง ยกเว้นบางรุ่นดังนี้
1 Rolex ของผู้หญิงบางรุ่นที่ผลิตก่อนทศวรรษที่ 90 ซึ่งจะมีคำว่า Original Rolex Design หรือคล้าย ๆ กัน แกะสลักเป็นแนวโค้งตามขอบตัวเรือน รวมถึง Rolex รุ่นเก่า ๆ บางรุ่นที่อาจมี Logo รูปมงกุฎ อยู่ด้านบน และ/หรือ Serial no. อยู่ด้านล่างของฝาหลัง

2  รุ่น Sea-Dweller ที่มีคำว่า “ ROLEX OYSTER ORIGINAL GAS ESCAPE VALVE”
3 รุ่น Submariner และ Sea-Dweller Comex ซึ่งแกะสลักคำว่า  Rolex และ COMEX พร้อมด้วยตัวหนังสือ 2 , 3 หรือ 4 หลัก (รุ่นนี้เป็นรุ่นที่นักสะสมต้องการและมีการปลอมกันมากในต่างประเทศ)
นาฬิกาปลอมส่วนใหญ่มักจะนิยมแกะสลัก Logo รูปมงกุฎ เลขรุ่น รวมทั้ง serial no. ไว้บนฝาหลังเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้ว Rolex จะไม่ทำลวดลายใด ๆ และจะมีฝาหลังเกลี้ยง ๆ เป็นส่วนใหญ่

   สติ๊กเกอร์ที่ฝาหลัง  ของแท้จะเป็นลาย hologram    ซึ่งจะดูสวยงามและเป็นลักษณะ 3 มิติ  มีรุปมงกุฎอยู่ตรงกลางเหนือ เลขรุ่น  อย่างไรก็ตามเมื่อใส่ไปนาน ๆ ตัวลาย hologram จะจางหายไปและอาจเหลือเพียงร่องรอยของตัวมงกุฎและเลขรุ่นเท่านั้น  sticker ของปลอม     จะเลียนแบบไม่ได้เหมือนของจริง กล่าวคือลายจะดูเรียบ ๆ ไม่เป็นสามมิติ รวมทั้งเลขรุ่นมักจะไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริง 

                                                 

กระจก Rolex จะใช้กระจก แซฟไฟร์ (รุ่นเก่าก่อนปี 1991 อาจจะมีเป็นเซลลูลอยด์) ในขณะที่ของปลอมถ้าใช้กระจกธรรมดาจะสังเกตุได้ง่ายคือ บริเวณขอบกระจกที่ยื่นขึ้นมาจากของหน้าปัด(Beveled edge) เราจะมองเห็นเป็นสีกระจกออกเขียว หรือขาวขุ่น  ขณะที่ของแท้เราจะเห็นเป็นสีเรียบใส  นอกจากนี้เรามีวิธีทดสอบง่าย ๆ ว่ากระจกเป็นแซฟไฟร์ หรือไม่ ทำได้โดยการหยดน้ำลงบนกระจก ถ้าน้ำรวมตัวกันเป็นก้อนแสดงว่าเป็นแซฟไฟร์  แต่ถ้าน้ำไม่รวมตัวกันแสดงว่าเป็นกระจกธรรมดา

ตัวเลนส์ขยายดูวันที่   ของแท้จะมีกำลังขยายถึง 2.5 เท่า  ทำให้เราสามารถอ่านวันที่ได้ง่ายชัดเจนเต็มหน้าจอ  ซึ่งคุณจะสังเกตุเห็นความแตกต่างของขนาดตัวเลขวันที่ จากการมองผ่านเลนส์กับมองโดยไม่ผ่านเลนส์                 
ของปลอมส่วนใหญ่จะสามารถขยายได้เพียง 1.5 เท่า  ทำให้ตัวเลขดูเล็กกว่า อีกทั้งการจัดวางตำแหน่งทั้งตัวเลนส์และตัวเลข ยังทำได้ไม่ค่อยดีด้วย

   

พรายน้ำ นับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา Rolex ได้เปลี่ยนการใช้พรายน้ำจาก Tritium มาเป็น Super Luminova ซึ่งมีความสว่างกว่าเดิมถึง 10 เท่า  Super Luminova จะมีคุณสมบัติที่ดีคือไม่มีอายุการใช้งาน (ซึ่งแต่เดิม tritium จะมีอายุใช้งานประมาณ 12 ปี) และจะทำงานโดยการชาร์ตกับแสงไฟ ไม่ว่าจะเป็นแสงจากหลอดไฟ หรือแสงอาทิตย์ ดังนั้น หากเป็นนาฬิกาที่ผลิตตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา หากคุณพบว่าพรายน้ำไม่สว่าง ขอให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นของปลอมหรือไม่ก็เป็นของแท้ที่มีปัญหา

ยางมะยม Triple lock ที่ใช้กับรุ่น Submariner, Sea Dweller และ Daytona เมื่อเราคลายเกลียวดึงมะยมออกมา จะเห็นยางเส้นเล็ก ๆ อยู่ ซึ่งตรงนี้ ของปลอมส่วนใหญ่จะละเลยไป 



 การหมุนมะยม  เมื่อคลายเกลียวออกมาในตำแหน่งที่ 1 เพื่อการไขลาน หากมีความรู้สึกไม่แน่นหรือไม่ราบเรียบ หรือมีเสียงผิดปกติ ก็จะเป็นข้อสังเกตอีกอย่างว่านาฬิกาไม่ได้คุณภาพ

Hacking Feature คือเมื่อเราดึงมะยมออกมาในตำแหน่งที่ 2 สำหรับการตั้งเวลา เข็มวินาทีจะต้องหยุดเดิน ซึ่งระบบนี้เรียกว่า Hacking Feature ซึ่ง Rolex คิดค้นขึ้นมาใช้เมื่อตอนต้น ทศวรรษที่ 70 ดังนั้น หากเป็นนาฬิกาที่ผู้ขายอ้างว่าเป็นนาฬิกา Vintage ผลิตก่อนปี 1970 เมื่อดึงมะยมออกมาตั้งเวลา หากเข็มนาทีหยุด แสดงว่าเป็นของปลอม ในทางกลับกัน หากเป็นนาฬิกาหลังยุค 70 หากดึงมะยมออกมาตำแหน่งตั้งเวลาแล้วเข็มวินาทียังเดินอยู่แสดงว่าเป็นของปลอมเช่นเดียวกัน

วันที่ ตัวเลขแสดงวันที่ ทุกตัวตั้งแต่ 1 ถึง 31 จะต้องคมชัดและวางตำแหน่งอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของหน้าต่างเลนส์ขยาย ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนง่าย แต่แท้ที่จริงแล้ว ทำได้ยากซึ่งของปลอมมักจะไม่สามารถทำได้  คุณควรหมุนดูวันที่ให้ครบถ้วนมากที่สุด หากมีตัวเลขตัวหนึ่งหรือหลายตัวอยู่ชิดข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป นั่นแสดงว่าน่าจะเป็นของปลอม อีกประการหนึ่ง พื้นสีของปลอมมักจะออกสีขาวอมเหลือง (Off-White)

Quick set & Double quick set Feature ในยุคก่อนที่จะปรับตั้งวันหรือวันที่ด้วยมะยมได้ นาฬิกาจะเปลี่ยนวันที่โดยการหมุนของเข็มเวลาผ่านเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น  ระบบ Quick set เกิดขึ้นเพื่อความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถตั้งวัน และวันที่ ผ่านทางมะยม ซึ่งระบบ Quick set (ตั้งวันที่) ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1970  ส่วน Double  quick set (ตั้งวัน และวันที่) เริ่มนำมาใช้เมื่อตั้งแต่ปลายปี 1990  สิ่งที่เราควรตรวจสอบก็คือ ทดลองหมุน ตั้งวันและวันที่ หากการเปลี่ยนมีการกระตุก หรือติดขัด หรือหมุนแล้วรู้สึกหลวม ๆ ไม่ค่อยเคลื่อนตัว แสดงว่าเป็นของปลอม หรือ เป็นของแท้ที่มีปัญหาสภาพไม่ดี

ฟังก์ชั่นพิเศษต่าง ๆ  นาฬิกาที่ทำเลียนแบบส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องฟังก์ชั่นพิเศษต่างๆ ให้เหมือนกับของจริง ตัวอย่างเช่น รุ่น Daytona จะมี 3 หน้าปัดย่อย กล่าวคือที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาจะคำนวณจับเวลาเป็นนาที ตรงตำแหน่ง 9 นาฬิกาบอกชั่วโมง  แต่ที่บริเวณเลข 6 นาฬิกาจะไปหน้าปัดย่อยพร้อมด้วยเข็มวินาทีที่เดินตามปรกติซึ่งจะต้องหมุนเดินทันทีเมื่อมีการขึ้นลานแล้ว ส่วนเข็มวินาทีที่ใช้จับเวลาจะเป็นเข็มใหญ่ที่อยู่ด้านบนสุดเหนือเข็มนาที ซึ่งเราจะต้องเช็คฟังก์ชั่นต่าง ๆ เหล่านี้ เช่นเมื่อกดปุ่มจับเวลา เข็มนาทีใหญ่ด้านบนสุดจะต้องเริ่มทำงานและเข็มที่หน้าปัดย่อยก็จะต้องเดินตามฟังก์ชั่นด้วย

Marking บนหน้าปัด  ของปลอมจะมีคุณภาพการพิมพ์ด้อยกว่า ซึ่งสามารถเห็นได้โดยแว่นขยาย  ถ้าส่องดูจะพบรอยขีดข่วนบนหน้าปัด ฝุ่นละออง จุดหรือ คราบเล็กๆบนตัวหนังสือ ขนาดตัวหนังสือ รวมทั้ง Font ที่ใช้ จะแตกต่างจากของจริง

ขอบหน้าปัด (Bezel) รุ่นที่เป็นนาฬิกา Sport เช่น Submariner, Sea-Dweller และ GMT ตัวขอบหน้าปัดที่มีสเกลจะหมุนได้แน่นแต่ราบรื่น (มี 120 คลิก หรือ 2 คลิก ต่อ 1 วินาที) ของปลอมจะมีลักษณะหลวมหรือ แน่นเกินไปเสียงที่หมุนจะดังกว่า และมีเพียง 60 คลิกเท่านั้น

 One way Gas escape Valve รุ่น Sea-Dweller จะมีช่องวงกลมเล็กๆอยู่ตรงข้ามเม็ดมะยมซึ่งทำหน้าที่ปล่อยอากาศเพื่อลดแรงดันในเวลาที่อยู่ภายใต้สภาพแรงกดดันเมื่อดำน้ำลึก ซึ่งของปลอมส่วนใหญ่จะไม่มี Valve นี้อยู่ให้เห็น

Micro-Etching    Rolex ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา จะมี Logo รูปมงกุฎที่เล็กมากอยุ่บนตำแหน่ง 6 นาฬิกา และเช่นเคยของแท้จะมีลักษณะสวยงามคมชัด และสัดส่วนที่ถูกต้อง

หมายเลขรุ่น (Case Reference Number)  ที่บริเวณด้านข้างตัวเรือนที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา จะมีตัวเลขแกะสลัก ซึ่งเมื่อถอดสายออกจากตัวเรือนก็จะสามารถมองเห็นได้ ซึ่งจะทำให้สามารถเทียบเคียงสิ่งที่บอกไว้ตามตัวเลขกับนาฬิกาจริงตรงกันหรือไม่ กล่าวคือ Rolex ในยุคก่อน 80 จะมีตัวเลข 4 หลัก แกะสลักไว้ จนกระทั่งประมาณปี 1985 จึงเริ่มมีตัวเลข 5 หลักอย่างเป็นระบบเพื่อบอกลักษณะนาฬิกาบางประการดังนี้
ตัวเลข 3 หลักแรก  จะบอกถึง รุ่น หรือ collection นาฬิกาเรือนนั้น
ตัวเลข หลักที่ 4  จะบอกถึง ประเภทของขอบหน้าปัด (Bezel)
ตัวเลข หลักที่ 5  จะบอกถึง วัสดุที่ใช้
               ตัวอย่างเช่น รุ่น  16233
162 หมายถึง  รุ่น Datejust

3 หมายถึง Fluted Bezel
 3 ตัวท้าย หมายถึง สแตนเลสกับทอง
จนถึงปี 2000 ได้เปลี่ยนเป็น 6 หลักอีก โดยเพิ่มเลข 1 เข้าไปด้านหน้า เช่น Daytona รุ่น 16523 ก็เป็น 116523

เราจำหน่าย Rolex โรเล็กซ์ นาฬิกาRolex นาฬิกามือสอง Rolexมือสอง rolex ราคา แท้ tag นาฬิกามือ2 นาฬิกาโรเล็กซ์ rolex thailand นาฬิกา Tag heuer